รถกระบะชนท้ายเก๋ง กระเด็นตกถนน ทำนักเรียนเจ็บระนาว 13 ราย ที่ปากช่อง
ปิกอัพรับนักเรียนไปแข่งกีฬา ชนท้ายเก๋งอย่างแรงถึงกับกระเด็นตกถนน เจ็บ 13 ราย ที่ปากช่อง นครราชสีมา โชคดีไม่มีใครเสียชีวิต ตร.จ่อสอบหาสาเหตุ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 16 พฤศจิกายน 58 ร.ต.อ.วิวรรธน์ โภคาสี พงส.สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา รับแจ้งมีอุบัติเหตุ รถปิกอัพรับนักเรียนไปแข่งกีฬา ชนท้ายรถเก๋ง มีนักเรียนบาดเจ็บหลายคน เหตุเกิดบนถนนธนะรัชต์ กม. 2-3 หน้าห้างแม็คโคร ขาเข้า อ.ปากช่อง หมู่ที่ 11 บ้านมอกระหาด ต.หนองน้ำแดง จึงรุดไปยังที่เกิดเหตุ พร้อม จนท.หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างวิชชาธรรมสถาน
เมื่อถึงที่เกิดเหตุ พบรถยนต์ปิกอัพ เชฟโรเลต สีดำ ทะเบียน บบ 9653 พระนครศรีอยุธยา สภาพด้านหน้าซ้ายพัง จอดอยู่ริมฟุตปาท ส่วนคู่กรณีที่ถูกชนท้าย เป็นรถยนต์เก๋ง โตโยต้า วีออส สีบรอนซ์ ทะเบียน ขธ 5026 นครราชสีมา สภาพด้านหลังซ้ายพัง รถวิ่งไปฝั่งตรงข้ามตกถนนเข้าป่า ห่างจากจุดเกิดเหตุ ประมาณ 10 เมตร ส่วนนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ หน่วยกู้ภัย และพลเมืองดี นำส่ง รพ.ปากช่องนานา จำนวน 13 คน คือ 1. ด.ญ.สุภาวดี สุขเจริญ 12 ปี 2. ด.ญ.ปุญญบัตร์ นาคยันยงค์ 11 ปี 3. ด.ญ.พัชราภา หลีพันธ์ 9 ปี 4. ด.ญ.มนศิริ มะรุม 12 ปี 5. ด.ญ.เบญญาภา สุขวารี 11 ปี 6. ด.ญ.ขวัญจิรา ชูทรัพย์ 11 ปี 7. ด.ญ.ณัชริกา สุธา 10 ปี 8. ด.ญ.ศิริรัตน์ ธนูศร 10 ปี 9. ด.ญ.กรกนก รุ่งเรือง 11 ปี 10. ด.ญ.วิภาพร อุ่นจันทึก 13 ปี 11. ด.ญ.บุญทริกา ศิริเสริม 9 ปี 12. ด.ญ.ภัทราภรร์ วรรณลักษณ์ 13 ปี และ 13. ด.ญ.เบญจมาศ สังขพัน 14 ปี อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่โชคดี เนื่องจากนักเรียนทั้งหมด ได้รับบาดเจ็บเพียงฟกช้ำ ดำเขียว ศีรษะโนบวม หลังแพทย์ตรวจรักษาแล้วได้ให้กลับบ้านได้
จากการสอบสวน นายวงศกร ชูศิริ อายุ 20 ปี ผู้ขับขี่รถยนต์ปิกอัพ รับครูผู้คุม และนักเรียนชั้นประถมศึกษา ของโรงเรียนพฤกษาวิทยา ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง จะไปแข่งขันกีฬากลุ่มโรงเรียนเอกชน ที่ วิทยาลัยกุสุมภ์เทคโนโลยี อ.ปากช่อง จำนวน 21 คน นั่งหน้าคู่คนขับ และนั่งกระบะท้าย โดยวิ่งช่องทางที่ 2 ติดเส้นขาวแบ่งกลางถนน แต่มาถึงจุดเกิดเหตุ หน้าห้างแม็คโคร มีรถปิกอัพวิ่งออกมาจากห้างแม็คโครตัดหน้า จึงเบรกและหักหลบไปชนท้ายรถเก๋ง โตโยต้า วีออส ขธ 5026 นครราชสีมา ที่มี นางมัชฌิมา เฉลยชน อายุ 39 ปี พนักงานห้างแม็คโคร จอดรอเลี้ยวเข้าไปทำงาน พุ่งชนท้ายอย่างแรง จนรถกระเด็นวิ่งตกถนน ซึ่งจะได้สอบสวนหาสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
0 comments:
Post a Comment